หน้าเว็บ

hello

hello
ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเราค่ะ

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คุยกันเรื่อง shea butterเชียร์บัตเตอร์

บทความจากเฟสบุคค่ะ

หลายปีก่อน มินดี้ไปเยี่ยมพ่อแม่และน้องที่อเมริกา สมัยที่ยังอยู่แอตแลนตา เจอshea butter ที่บ้าน วางเต็มหน้ากระจก พอเข้าห้องอาบน้ำก็เจอพวกสบู่สีดำๆ วางอยู่ ถามที่บ้านได้ความว่า ช่วงนี้เค้ากำลังเห่อสินค้าของคนแอฟริกา เนื่องจากอากาศแถบแอตแลนตาค่อนข้างหนาว และพอหน้าร้อนก็จะร้อนมากๆ สินค้าแนวธรรมชาติๆแถบแอฟริกาจึงเป็นที่นิยมทั้งคนผิวสีและคนขาวในอเมริกาค่ะ
น้องสาวบอกว่าดูผิวคนแอฟริกาซิ สวยมาก ริ้วรอยก็มาช้า ผิวเนียนจนแก่ 
(อย่าว่าโง้นงี้เลยนะคะคุณแม่นี้กระ ฝ้าเต็มตัว 
ใช้สบู่แอฟริกามา2-3ปีแล้ว กลับไทยทีมีแต่คนถามว่าไปทำอะไรมา 
เค้าต้องตัดสบู่ที่แบกมาเป็นก้อนเล็กๆแบ่งให้ญาติไปใช้ฟอกหน้ากัน 555)
เข้าเรื่องดีกว่า ..............
จริงๆจะต้องอ่านว่าเชบัตเตอร์ 
แต่ถ้าไม่พิมพ์เชียร์บัตเตอร์ก็กลัวจะไม่มีใครรู้จักอ่ะค่ะ ตัวนี้เป็นที่นิยม
สำหรับสาวๆ ในประเทศที่อากาศแห้งมากๆค่ะ 
เพราะนำความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว
2ปีที่แล้ว เชบัตเตอร์ของเครื่องสำอางค์ฝรั่งเศสยี่ห้อนึง 
มีช็อปในไทยด้วย โด่งดังมาก ถึงขนาดขาดตลาดกันทีเดียว แม่ค้า+แอร์ หิ้วมาขายกันเป็นว่าเล่น กระแสของเชียร์บัตเตอร์ในไทยดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ ขนาดประเทศเราร้อนมากๆนะคะ
shea butterมาจากธรรมชาติ มาจากผลของ ต้นเชียร์ 
ซึ่งปลูกในตะวันตกของทวีป Africa  นำมาทุบหรือบด แล้วนำมาต้มกับน้ำ 
จนกระทั่ง เนื้อเนยหรือ บัตเตอร์ แยกตัวอยู่บนสุด เค้าใช้กันมาเป็นร้อยๆปีค่ะ

ช่วยลดรอยแผล รอยแห้ง รอยสากๆจากแสงแดด ลม ความร้อนได้ 
เมืองไทยเราอากาศร้อน เราใช้ทาแค่บางจุดที่แห้งๆก็พอค่ะ 
แต่ที่ต่างประเทศ ยิ่งประเทศอากาศแห้งๆแล้ว ยิ่งจำเป็นอย่างมากค่ะ

ข้อเสียก็มีค่ะ คือ ช่วงที่ทาเชียร์บัตเตอร์ที่เป็นน้ำมันเข้าผิว 
จะเหนียว ต้องให้เวลาที่เชียร์บัตเตอร์จะซึมเข้าผิวนิดหนึ่ง 
บางคนจะไม่ชอบกลิ่นธรรมชาติๆ ของเชียร์บัตเตอร์ 
ญี่ปุ่นเค้าเลยผลิตแบบ80%ที่ผสมกลิ่นหอมๆให้ใช้กันง่ายขึ้นค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นมผึ้ง..อาหารผึ้งนางพญาสู่ความงามของผิวพรรณ

นมผึ้งก็คือ อาหารของผึ้งนางพญา และตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งนมผึ้งนี้ ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน แล้วนำไปเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและบรรดาตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยให้ราชินีผึ้งมีอายุยืนและและบรรดาตัวอ่อนของผึ้งก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

สารอาหารในนมผึ้งหรือรอยัลเจลลี่ เกสรผึ้ง น้ำผึ้ง มี 58 ชนิดของสารอาหารหลัก 5 หมู่รวม 63ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์

คุณประโยชน์ของนมผึ้ง

1.กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงและชายให้สมดุล  และเพิ่มสรรถภาพในการสร้างสเปริม์และช่วยให้การสุกของไข่ในสตรีจะมีประจำเดือนมาไวและหมดประจำเดือนช้าลง  ผลคือ  คงความสาวหนุ่มได้นานกว่าปกติ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้คงอยู่ได้นาน

ช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน จนถึงวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง

2.นมผึ้งดีต่อระบบประสาท ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น เพราะในนมผึ้งมีกรดสำคัญที่มีชื่อว่า  Decenonic acid  ซึ่งเป็นกรดจากธรรมชาติ และมีวิตามินบี ซึ่งในวิตามินบีจะมี ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น สงบขึ้น

ช่วยบำรุงสมองให้มีสติปัญญาดีขึ้น มีความจำดีขึ้น

3.นมผึ้งช่วยคงความอ่อนเยาว์ ชะลอวัย ช่วยบำรุงผิวพรรณ ร่างกายเราจะปรับตามฮอร์โมนที่เรามีตามธรรมชาติ แถมยังให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วย  ผิวพรรณจึงดูสดใสขึ้น 

4.  นมผึ้งช่วยลดการอักเสบของข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ  มีผลเหมือนสารสเตียรอยด์ แต่ไม่มีอันตรายและผลข้างเคียง

5.  ช่วยให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ  ทำให้สูบฉีดโลหิตหมุนเวียนแบบธรรมชาติ คนสูงอายุหรือผู้ป่วยจะรู้สึกสดชื่นขึ้นแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไข่ตก..สมาธิตก

ปกติผู้หญิงมักเกิดอาการเหวี่ยงและหิวบ่อยขึ้นในช่วงมีประจำเดือน(อันเป้นช่วงไข่ตก) แต่มันอาจไม่ใช่ แค่นี้แล้วก็ได้ เพราะมีผู้พบว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่พุ่งสูงในช่วงไข่ตกนั้นมีผลต่อสมาธิของสาวๆด้วย  ทั้งนี้ ดร.เวย์ เบรก(Wayne Brake)ผู้เขียนหนังสือ Brain and cognition เผยว่า ในช่วงไข่ตกผู้หญิงอาจเรียนรู้งานใหม่ๆ ได้ล่าช้าลง เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนไปรบกวนการทำงานของศูนย์กลางการเรียนรู้ของสมอง  ทักษะในโฟกัสจึงลดต่ำลง  ดังนั้นสาวๆอาจต้องเปลี่ยนมาทำงานที่มีเนื้องานซับซ้อนและต้องการสมาธิในช่วงอื่นแทน

ข้อมูลจากนิตยสาร women ‘s health ฉบับเดือน พค.2011

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สุดยอดคุณประโยชน์ของชาเขียว

ชาเขียวช่วยสลายไขมันหน้าท้อง

คนอ้วนจะเผาผลาญไขมันหน้าท้องจากการออกกำลังกายได้มากขึ้น 7% ถ้าดื่มชาเขียว ผสมกาเฟอีน เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มกาเฟอีนชนิดอื่นๆ จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The journal of Nutrition

ชาเขียว ช่วยให้ฟันแข็งแรง

ดื่มชาเขียว 2 แก้ว หรือมากกว่านี้ต่อวัน ฟันจะแข็งแรง ไม่โยกหรือหลุดได้ง่ายๆ จากผลการวิจัยชิ้นใหม่ที่ตีพิมพ์ใน Preventative Medicine

ชาเขียว ช่วยลดค่า BMI

คนที่ดื่มชาเขียว  2-3 แก้วต่อวัน มีแนวโน้มที่จะมีค่า BMI ลดลงและ นน.ตัวลดลง ผลการวิจัยของ University of Connecticut

ชาเขียว ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดมะเร็งผิวหนัง

ชาเขียว สามารถซ่อมแซมดีเอ็นเอที่เสื่อมจากรังสียูวีบีได้ นอกจากนี้ยังลดอัตราเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งของเซลล์สร้างเม็ดสีได้อีกด้วย จากการทดลองกับสัตว์ที่ตีพิมพ์ใน  Cancer Prevention Research

ชาเขียว ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง

ดื่มชาเขียว  3แก้วต่อวัน ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ 21 % จากผลการวิจัยในปี 2009

ชาเขียว ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอด

 จากผลการวิจัยที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์  ของนักวิชาการชาวไต้หวัน ค้นพบว่าการดื่ม ชาเขียว  มากกส่า 1 แก้วต่อวัน ช่วยลดปัจจัยการเกิดมะเร็งปอดได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการสูบบุหรี่หรือไม่ จริงๆแล้วคนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ดื่มชาเขียวทุกวัน มีอัตราเสี่ยงน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดิ่มชาเขียวถึง 5 เท่าด้วยกัน



ข้อมูลจากนิตยสาร women's health ฉบับประจำเดือน May 2011

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

horsetailสมุนไพรที่ช่วยให้รากผมแข็งแรง

Horsetail เป็นสมุนไพรที่เติบโตอย่างแพร่หลายในพื้นที่อากาศหนาวของซีกโลกเหนือในเอเชียยุโรปและอเมริกาเหนือ

Horsetail ถูกนำมาใช้เป็นยาพื้นบ้านตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ โดยเชื่อว่าให้การรักษาในเรื่องของการหยุดยั้งผมร่วงได้ Horsetail  อุดมไปด้วยซิลิกา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของร่างกาย ในการรักษาโรคกระดูกพรุน การบาดเจ็บ ปัญหาผิวและกระตุ้นการเจริญเติบโตตามธรรมชาติผม และช่วยให้ผมมีสุขภาพดี และแข็งแรง พร้อมด้วยแร่ธาตุอื่นๆ ที่มีอยู่ในฮอสเทล เช่น โพแทสเซียม,flavoniod,alkaloid,sterol กรดไขมันและอื่นๆ

นอกจากนี้ฮอสเทลยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนและให้ความแข็งแรงแก่รูขุมขน คุณสมบัติดังกล่าว จึงทำให้ฮอสเทลกลายเป็นส่วนผสมที่เราพบได้บ่อยๆในการรักษาผมร่วง

ประโยชน์อื่นๆของ horsetail

Horsetail แบบดั้งเดิมใช้เป็นยาขับปัสสาวะในการรักษาอาการบวมน้ำ และยังใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุน,เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก,ทางเดินปัสสาวะอักเสบและรักษาแผล(เฉพาะที่)

ปริมาณแนะนำที่รับประทาน ครั้งละ300มก.3ครั้ง/วัน

ผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจควรหลีกเลี่ยงการใช้

เรื่องของเหงื่อ



เหงื่อ เป็นของเสียชนิดหนึ่งที่ร่างกายขับออกมาในรปของเหลว และจะขับออกมาทางผิวหนังหรือตามซอกต่างๆของร่างกาย มักมีรสเค็มเพราะมีเกลือเป็นส่วนประกอบ การออกกำลังกายหรือเวลาอากาศร้อนก็มีเหงื่อได้เช่นกัน
เหงื่อประกอบด้วยน้ำ99% ส่วนอีก 1% ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ ยูเรีย น้ำตาล ไขมัน กรดอะมิโนบางชนิด โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก

ชนิดของเหงื่อ
ต่อมเหงื่อชนิดนี้พบทั่วตามร่างกาย ได้แก่ ผิวหนัง ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งจะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่น เพราะร่างกายจะขับเหงื่อชนิดนี้ออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนักๆ หรืออยู่ในสภาวะอากาศร้อน

เหงื่อที่ผลิตจาก Apocrine Sweat Glands

ต่อมเหงื่อชนิดนี้กระจายตัวอยู่บางแห่งของร่างกาย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ทวารหนัก หัวหน่าว ก้น แผ่นหลัง เหงื่อที่ได้จะมีลักษณะเหนียวใสและมีส่วนผสมของไขมันอยู่มากจึงทำให้เหงื่อชนิดนี้มีกลิ่น ซึ่งกลิ่นเหล่านี้ทำหน้าที่ในการกระตุ้นอารมณ์เพศจึงเป็นคนละกลิ่นที่เกิดจากการหมักหมมของขี้ไคล

การขับเหงื่อ
เหงื่อจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นของ "ความร้อน" และ "อารมณ์" ซึ่งทำให้สมองหลั่งสารเคมีชื่อ แอซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่อยู่บริเวณปลายประสาทออกมากกระตุ้นต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อ

ปริมาณเหงื่อของแต่ละคนขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ
ความผันผวนของอากาศ ซึ่งอากาศร้อนมีความชื้นในอากาศสูงจะทำให้เหงื่อออกมากกว่าวันที่ฝนตกซึ่งมีความชื้นในอากศต่ำ
กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หากต้องออกแรงมากจะทำให้เหงื่อออกมากซึ่งตรงข้ามกับผู้ที่ไม่ค่อยจะออกแรง

ปัจจัยเสริม

โรคบางชนิดสามารถทำให้ปริมาณของเหงื่อเปลี่ยนแปลได้ เช่น โรคเครียด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษหรือคอพอก วัณโรค เบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะใกล้หมดประจำเดือน สิ่งเหล่านี้ทำให้เหงื่อออกมาก ส่วนโรคผิวหนังไม่ว่าจะเป็นผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวหนังแตกหยาบ ไมเกรนจะทำให้เหงื่อออกน้อย

อ้างอิง   นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 16 พศจิกายน 2551
และ       http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD

สมุนไพรบำรุงสุขภาพผม

ไปอ่านเจอ เห็นว่าเป็นเคล็ดลับ ทำได้เองง่ายๆ เลยเอามาฝากจ้า..^^

ผมร่วง เชิญทางนี้
ใครที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุก ปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่ หรือแชมพู ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง
รังแค กวนใจไม่หยุดหย่อน
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแค ไหนจะเสียบุคลิก ไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย ส่วนใครที่มีอาการคัน ให้นำว่านหางจระเข้ปลอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด
ยี้ มีเหามารังควาน
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่ เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำ ทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชม.ค่อยล้างออก สระผมตามอีกครั้ง แต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตา ขอเตือนว่าแสบมาก ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้ วิธีการเหมือนกันเป๊ะ
นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่เป็นประโยชน์กับเส้นผมและหนังศีรษะ ต่อไปก่อนซื้อแชมพู อ่านส่วนผสมก่อนว่ามีที่เราต้องการหรือยัง ?
ผมมัน : เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้ ผมแห้ง : เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง ผมแตกปลาย : เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไป เลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้ ผมธรรมดา : นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอ ไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น
เห็นไหมว่า สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริง.

ขอบคุณ ข้อมูลจากเว็บสมุนไพรดอทคอม
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

cranberryเบอรี่มหัศจรรย์

แครนเบอรี่สกัดเข้มข้น จำเป็นโดยเฉพาะผู้หญิง ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ป้องกันฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ออกมายืนยันว่าแครนเบอร์รี่ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก ไม่ว่าบริโภคแบบไหนรวมถึงการนำมาทำอาหาร  แยมหรือแม้แต่ น้ำแครนเบอร์รี่ หรือในปัจจุบันมีการผลิตมาให้อยู่ในรูปของอาหารเสริมแบบแคปซูล-ซอฟเจล 

*แครนเบอร์รี่ คือหนึ่งในผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่าช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ ผลงานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 300 มิลลิลิตร จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในปัสสาวะลงได้ แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงมีสรรพคุณในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โดยลักษณะของแครนเบอร์รี่ ที่ให้ผลทางการป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจจะอยู่ในรูปของน้ำแครนเบอร์รี่หรือในรูปซอฟเจล จากการศึกษาในกลุ่มของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์กับการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ พบว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ถึง 50%
แครนเบอร์รี่เป็นเบอรี่ที่มีวิตามินซีสูง  นอกจากนี้ วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นขึ้น แครนเบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อแอนโธไซยานิดินส์ (Anthocyanidins) สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้

ขอบคุณ*http://www.sciencedaily.com/releases/2004/04/040429054703.htm

สำหรับคุณสมบัติในการป้องกันฟันผุจากแครนเบอรี่ ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดผลไม้ชนิดนี้จึงมีคุณประโยชน์ในการปกป้องฟันผุ

**ในวงการแพทย์ ได้ยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า แครนเบอร์รี่ไม่ว่าจะเป็นในรูปของน้ำผลไม้ แคปซูล ชงดื่ม ต่างก็ให้ประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะภายในช่องท้องของสตรี สตรีที่มักประสบปัญหาการอั้นปัสสาวะและเกิดการอักเสบขื้นภายใน เมื่อได้รับประทานแครนเบอรี่อย่างน้อยเพียง 2 วัน ก็จะเห็นผล นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น จากการวิจัยใหม่ยังยกให้แครนเบอร์รี่เป็นตัวการสาคัญในการยับยั้งและรักษาการเกิดก้อนหิน ในไต ช่วยลดกรดไขมันในเส้นเลือด (ไขมันเลว) ช่วยให้ร่างกายสามารถคืนสู่ปกติได้หลังจากอาการชัก และสำคัญกว่านั้นคือช่วยในด้านการป้องกันมะเร็ง
cranberryไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติซึ่งมาจากผลแครนเบอร์รี่ที่ปลูกในแถบอเมริกาเหนือ จึงสามารถรับปะทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อ ในท่อปัสสาวะ  ขจัดกลิ่นในปัสสสาวะ (ช่วยให้อวัยวะเพศสะอาด)  รักษาและป้องกันเกี่ยวกับโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรีย

ในผลแครนเบอร์รี่ประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิเดนซ์จำนวนมากจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา
**ขอบคุณ http://www.vcharkarn.com/vblog/39720

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

Germanium

Germaniumเป็นธาตุที่ใช้เป็นอาหารเสริม คุณอาจจะได้ยินเรื่องGermaniumมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ได้รับการดำเนินการทดสอบและวิจัยเกี่ยวกับGermanium และได้พบว่าGermaniumมีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ 

 ประโยชน์ที่ได้รับจากGermaniumคือ

1. ลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ใช้เป็นประจำของGermaniumเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับการพิสูจน์ลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอล คงจะดีหากสามารถลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช่ยา

 
2.บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง -- ผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคไขข้ออักเสบและเรื้อรังอื่น ๆ และเจ็บปวดมากเงื่อนไขการรายงานผ่านทางหลักสูตรการศึกษาหลาย ๆ ที่การเสริมปกติGermanium จะช่วยลดอาการปวดและตึงได้
3. แพทย์พบว่าผู้ป่วยที่พวกเขารับการรักษาด้วยGermaniumมีความผิดปกติของเซลล์น้อยลงและความเสียหายอนุมูลอิสระได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ใช้เวลาปกติของGermaniumเสริม


4. ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน Germaniumได้รับการพิสูจน์ว่าช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งจะช่วยให้ร่างกายตอบโต้กับการเจ็บป่วยหรือโรคได้

ปัจจุบันแพทย์พยายามที่จะค้นคว้าว่าGermaniumสามารถใช้ในการต่อสู้กับโรค autoimmune ร้ายแรงหรือโรคระบบภูมิคุ้มกันเช่นโรคเอดส์ได้จริงหรือไม่
เราคงต้องติดตามกันต่อไป


ที่มา http://EzineArticles.com/13419482

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผมร่วง ผมบาง ผมไม่สวย แก้ด้วยไบโอติน

ไบโอติน จัดเป็นดาราอาหารเสริมบำรุงผมยอดนิยมตัวหนึ่งในยุคนี้ ด้วยความที่ไบโอติน ค่อนข้างปลอดภัย ไม่สะสม ราคาก็ไม่แพง หนำซ้ำยังได้ผลค่อนข้างดีในการลดการหลุดร่วงของเส้นผมโดยปัจจัยต่างๆ ไบโอติน จึงเป็นตัวเลือกระดับต้นๆ สำหรับผู้มีปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับเส้นผม

ไบโอติน (Biotin) รู้จักกันในชื่อวิตามินเอช หรือ โคเอนไซม์อาร์ หรือวิตามินบี 7 เป็นหนึ่งในวิตามินบีที่ละลายในน้ำ จึงไม่เสี่ยงต่อการสะสม หากมีมากเกินไป จะถูกขับออกมาโดยวิธีธรรมชาติ

      ไบโอตินเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผม,เล็บ และผิวมีสุขภาพดี  ภาวะผมร่วงมากผิดปกติ หนังศีรษะอักเสบ ผมหงอกก่อนวัย ผมแห้งขาด แตกปลาย รังแค อาจเกิดขึ้นได้จากการขาดไบโอติน  ความแข็งแรงของเส้นผมและเล็บ ความเรียบของผิวหนังขึ้นกับปริมาณของไบโอตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง หนังศีรษะและรากผม

      นอกจากนี้ ไบโอตินยังทำให้การเผาผลาญอาหารพวกแป้ง (carbohydrate) และไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
      ไบโอตินช่วยในการเจริญของเซลล์เยื่อบุผิว เป็นส่วนประกอบของการสร้างน้ำตาล, กรดอะมิโนและกรดไขมัน และช่วยให้ร่างกายสร้างพลังงานระหว่างการออกกำลังกาย

      ไบโอติน ผลิตขึ้นได้จากแบคทีเรียในลำไส้ของเรา แต่ในปัจจุบันพบว่าการขาดไบโอติน พบได้บ่อยในคนที่รับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธีมากบ่อยๆ หรือคนที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะยาในกลุ่ม Sulfa เนื่องจากเชื้อพวก Lactobacillin จะถูกทำลาย การบริโภคไขขาวดิบในปริมาณสูง และนานติดต่อกันอาจทำให้สาร avidin ในไข่ขาว จับกับไบโอติน ทำให้ไบโอตินไม่สามารถดูดซึมได้ก็อาจนำมาซึ่งภาวะการขาดไบโอตินได้ นอกจากนี้การใช้ยากันชัก (anti-seizure) เป็นเวลานานติดต่อกันก็สามารถก่อให้เกิดการขาดไบโอตินได้
    
      การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ, สูบบุหรี่, นักกีฬา, โรคเบาหวาน ซึ่งพบได้บ่อยว่ามีการขาดไบโอติน ความต้องการไบโอตินจะสูงขึ้นในช่วงของการตั้งครรภ์และให้นมบุตร ในช่วงการตั้งครรภ์หากได้รับวิตามินบี ไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และผมร่วงหลังคลอดได้

     หน้าที่ของ ไบโอติน

ไบโอตินทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างผิวหนัง ผม และระบบประสาทรวมทั้งหน้าที่อื่นๆ ในร่างกาย มีรายงานว่า ไบโอตินสามารถป้องกันผมหงอก และศีรษะล้านก่อนวัยได้

ประโยชน์ของไบโอติน
1.ไบโอตินช่วยป้องกันผมหงอกและศีรษะล้านก่อนวัย
2.ไบโอตินช่วยให้ผิวหนังอักเสบดีขึ้น ใช้รักษาสะเก็ดที่ศีรษะ
3. ไบโอตินปริมาณสูงช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และลดการติดเชื้อ นอกจากนี้แบคทีเรียในลำไส้ยังช่วยสังเคราะห์ไบโอตินให้กับร่างกาย แต่แบคทีเรียจะลดจำนวนลงได้ง่าย เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จนเกิดฝ้าขาวในปากและลำคอ
4.ช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหาร

อาการที่มักพบในผู้ที่มีอาการขาดไบโอติน

1.ไม่มีแรง  และอาจมีอาการของการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ
2.มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร
3.มีอาการทางระบบประสาท เช่น อาการนอนไม่หลับ ซึมเศร้า
4. มีผิวแห้ง ผมร่วง
5.ระบบการเผาผลาญไขมันเกิดความบกพร่อง ทำให้ไขมัน โคเลสเตอรอลในเลือด
สูง และการเผาผลาญไขมันน้อยลง

ปริมาณที่แนะนำให้รับประทาน

1000-3000 mcg สำหรับผู้ที่มีผมร่วง
2500-3000 mcg เพิ่มความแข็งแรงให้กับเล็บ

ปัจจุบันยังไม่พบรายงานผลข้างเคียงหรือการเป็นพิษของวิตามินบี

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

โอเมก้า 3-6-9 กุญแจสำคัญสู่ความงามของผิวพรรณทั่วร่างกาย

พูดคำว่าโอเมก้า เรามักจะเข้าใจกันว่า เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุง สุขภาพและสมอง  
จึงมักจะถูกเมินเฉยจากผู้ที่รักในเรื่องความงาม  แต่แท้ที่จริงแล้ว omega 3-6-9
เป็นกรดไขมัน ที่จำเป็นต่อสุขภาพผิวโดยรวม การขาดโอเมก้า 3-6-9 ทำให้เกิดความไม่สมดุล 
ในระดับของสารประกอบฮอร์โมน ซึ่งมีผลให้ ผิวหนังเราแห้ง แตกบ่อย ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้า แขน ขา ร่างกาย 
รวมไปถึงเส้นผม ที่แห้งแตกปลาย โดยเรามักจะไปแก้ที่ปลายเหตุกันเสียเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้  โอเมก้า 3-6-9 ยังช่วยกำจัดไขมันไม่ดี รวมถึงโคเรสเตอรอล ออกจากร่างกาย



คุณประโยชน์ของ omega 3-6-9
1.ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง   omega 3-6-9 
ช่วยรักษาโครงสร้างเซลและช่วยให้เยื่อบุเซล มีสุขภาพที่ดี ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้นขึ้น  
บรรเทาอาการคันและผื่นที่ผิวหนัง
สำหรับผู้ที่ผิวแห้งบ่อยๆ อาจเป็นไปได้ที่ร่างกายขาด หรือได้รับโอเมกา 3-6-9 ไม่เพียงพอ
2.ป้องกันและรักษาผิวที่เสียจากแสงแดด  GLAใน omega 3-6-9 จะช่วยฟื้นฟู ผิวที่แดง 
จากแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต
3. GLAในomega 3-6-9 ช่วยรักษาอาการแผลเปื่อย แผลพุพอง
4.บำรุงเส้นผมที่แห้งแตกปลาย ช่วยขจัดรังแค โดย omega 3-6-9 ช่วยควบคุมการผลัดเซลหนังศีรษะ 
อันเป็นสาเหตุของรังแค และช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรง
5.ลดและต้านการอักเสบของสิว
6.โอเมกา 3-6-9 ช่วยการไหลเวียนโลหิต และลดระดับไตรกลีเซอไรด์
7.บำรุงสมองและความจำ ป้องกันระบบประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวานและดรคอัลไซเมอร์
8.ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
9.โอเมกา 3-6-9 ช่วยลดการปวดประจำเดือน และ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
10.บรรเทาอาการท้องผูก และลำไส้โป่งพอง