หน้าเว็บ

hello

hello
ยินดีต้อนรับสู่บ้านของเราค่ะ

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไลโคปีน Lycopene

ไลโคปีน Lycopene เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเทรนฮอตฮิตของกระแสผิวขาวใส อมชมพู แต่แท้จริงแล้ว ไลโคปีน มีคุณประโยชน์มากมายกว่าการทำให้ผิวขาวอมชมพู และสิ่งใดที่ทำให้ไลโคปีน มาเป็นที่นิยมในวงการรักสวยรักงาม

ในสภาพสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว การสูบบุหรี่จัดเพราะต้องการลดความเครียด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวทำลายสุขภาพและผิวพรรณ ทำให้ความเสื่อมของวัยรวดเร็วยิ่งขึ้น

ดร.เอ็ดเวิร์ด จีโอวานนุซซี่ จากHarvard Medical School สารอาหารที่พบในมะเขือเทศลูกแดงๆ จะแซกแทรงการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านมและเนื้องอก มะเร็งต่อมลูกมาก รวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่จะเกิดขึ้นใหม่ในร่างกายของเรา

ไลโคปีน เป็นcarotenoid พบมากในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ ตรงกันข้ามกับเบตาแคโรทีน ไม่ถูกทำลายระหว่างการแปรรูปอาหารเหมือนเบตาแคโรทีน ทั้งยังดูดซึมได้ดี  ร่างกายของเราไม่ไผลิตไลโคปีน ดังนั้นเราจึงต้องทานไลโคปีนเข้าไป จากผัก ผลไม้หรืออาหารเสริม แม้กระทั่งอาหารที่ทำจากมะเขือเทศแปรรูปต่างๆ (คนชอบทานพิซซ่า ก็มีเหตุผลที่ดีในการทานแล้วละค่ะ)

carotenoid เป็นสารสีธรรมชาติที่พบมากที่สุด พบในคลอโรพลาสต์ในรูป  chromoproteins หากอยู่นอกคลอโรพลาสต์จะพบเป็น   acyclic carotenoids  carotenoid ที่เป็นสีของมะเขือเทศคือไลโคปีน


จากผลวิจัยที่ผ่านมาในอดีต lycopeneเป็นเม็ดสีที่ช่วยให้ผักและผลไม้ เช่นมะเขือเทศ แตงโม ส้มโอมีสีชมพูและแดง (นี่ละมังคะ ที่คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าอยากแก้มแดงต้องทานมเขือเทศเยอะๆ) และที่สำคัญ ไลโคปีน จะปรากฎขึ้นเพื่อแสดงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับนอกเหนือจากการป้องกันและสามารถลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งดังกล่าว

ปี1990 การศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทดสอบคนจำนวน 50000คนให้รับประทานอาหารที
มีปริมาณมะเขือเทศสูงในเวลาติดต่อกัน พบว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ถึง34%

นอกจากนี้ไลโคปีนปริมาณสูงๆยังช่วยลดคลอเรสเตอรอลตัวไม่ดีหรือ LDL ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีไลโคปีน อย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดอัตราการหัวใจวายของผู้ชายได้ถึง 50%

คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ หากรับไลโคปีนเป็นประจำจะลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดตีบและหัวใจวาย  นอกจากนี้ยังสมารถช่วยสร้างภูมิต้านทานในการต่อสู้กับโรคหืดหอบได้อีกด้วย

ร่างกายของคนเราควรได้รับปริมาณ ไลโคปีน อย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน ซึ่งเทียบได้กับการทานมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในอาหาร 10 ครั้ง/สัปดาห์

หากคุณเป็นคนที่เขี่ยมะเขือเทศออกจากจานเป็นประจำ หนำซ้ำยังไม่ชอบทานมะเขือเทศอีกด้วย ก็ยังมีตัวเลือกอื่นๆให้ทานอีกมากมาย และต้องไม่ลืมว่าร่างกายเราไม่สามารถผลิตไลโคปีนขึ้นเอง จำต้องพึ่งการรับประทานเข้าไปเท่านั้น


วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

astaxanthinสารต้านอนุมูลอิสระที่มาแรงมากในยุคนี้

แอสตาแซนทินเป็นสารอาหารหนึ่งที่โด่งดังด้วยผลวิจัยทางการแพทย์มากมาย
แอสต้าแซนทิน เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ carotenoid ที่ได้จากปลาทะเลและสาหร่ายสีแดงพันธุ์ Haematococcus Pluvialis และ สัตว์ทะเลบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทาน์ กุ้ง และ ลอปสเตอร์

นานมาแล้ว ในวงการเลี้ยงปลาสวยงามจะรู้จักแอสตาแซนทินในชื่อคลอโรฟิลพิงค์ ที่ผสมในอาหารเลี้ยงปลาเพื่อเร่งสีให้เนื้อปลาสวยงามเร็วยิ่งขึ้น

astaxanthin ต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระทำลายเซลล์ที่สามารถนำไปสู่การออกซิเดชั่นและอาจนำไปสู่ริ้วรอยก่อนวัยของเซลล์  จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารต่าง ๆ ดังนี้

มากกว่าวิตามินอี แอลฟา โทโคฟีรอล 550 เท่า
มากกว่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่า
มากว่าเมล็ดองุ่นสกัด 17 เท่า
มากกว่าวิตามินซี 6000 เท่า
มากกว่า โคเอนไซม์คิวเท็น 800 เท่า
มากกว่าสารในชาเขียว 550 เท่า
มากกว่า แอลฟา ไลโปอิก เอซิด 75 เท่า
ในการกำจัดอนุมูลอิสระ

แอสต้าแซนทิน  ยังมีคุณสมบัติในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ ปกป้อง DNA หรือ สารพันธุกรรมในเซลล์จากการถูกทำลาย ซึ่งป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ เป็นการป้องกันมะเร็งได้ ป้องกันเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด และ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน
แอสตาแซนทินสามารถใช้ร่วมกับสารสกัดเมล็ดองุ่นในการป้องกันเส้นเลือดเสื่อม และ เส้นเลือดขอดได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ของแอสต้าแซนทิน
1. ป้องกัน และ ฟื้นฟูจอตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งจอตาจะเป็นจุดรับภาพของลูกตา ช่วยยับยั้งการสะสมของกรดในดวงตา อันเป็นสาเหตุให้ดวงตาอ่อนล้า ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลต
2. ป้องกันการเสื่อมของไต และ หลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน
3. ป้องกัน และ บำบัดในผู้ป่วยความจำเสื่อม และ พาร์กินสัน
4. ปรับสมดุลของโคเลสเตอรอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LDL ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ช่วยให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นมากขึ้น ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ควรใช้ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดองุ่น

5. ลดภาวะอักเสบในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และ การติดเชื้อไวรัสเรื้อรัง เช่น กลุ่มผู้ป่วย AIDS ผู้ติดเชื้อไวรัสงูสวัด และ เริม
6. ทำให้สเปิร์มแข็งแรงขึ้น
7. ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น
8. ปกป้องโครงสร้างผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสีอัลตราไวโอเลต ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย
9. ปรับสมดุลความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ
10. ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากอักเสบหรือโต และ มะเร็งต่อมลูกหมาก
11. ช่วยการซ่อมแซม และ ฟื้นฟูเซลล์สมองและหลอดเลือดในผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตก หรือ ผู้ป่วยที่ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง



มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในอาหารของมนุษย์มายาวนานหลายพันปี เช่น เนื้อปลาแซลมอนที่มีสีเข้มขนาดหนึ่งหน่วยบริโภคจะมีสารแอสตาแซนทิน  3 - 6 มิลลิกรัม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหลายการทดลองทางคลินิก ที่ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารที่ผลิตจาก Microalgae ที่อุดมไปด้วยแอสตาแซนทิน40 มิลลิกรัมต่อวัน 
นับตั้งแต่ปี 1995 มีการจำหน่ายแอสตาแซนทินในรูปแบบอาหารในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดแอสตาแซนทินตั้งแต่ปี 1999 โดยไม่มีการรายงานถึงผลกระทบทางด้านลบแต่อย่างใด

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผิวแน่น..อิ่มด้วยคอลลาเจน

ใครๆก็ทราบว่า คอลลาเจนช่วยให้ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง แต่น่าเสียดายที่คอลลาเจนลดลงตามสภาวะแวดล้อมต่างๆ เช่นกาลเวลา,มลภาวะ ,การออกอาการทางความรู้สึก  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวเสื่อมสภาพ ผลที่ตามมาก็คือ ริ้วรอยเหี่ยวย่น และผิวหนังขาดความชุ่มชื้น

คอลลาเจนมาจากภาษากรีก แปลว่ากาว เป็นโปรตีนธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะในสัตว์และมนุษย์ collagenทำหน้าที่เชื่อมเซลแต่ละเซลเข้าด้วยกัน เป็นองค์ประกอบหลักในร่างกายเรา เพราะมีปริมากถึง 1ใน 3 ของโปรตีนในร่างกายเรา พบได้โดยทั่วไปของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง กล้ามเนื้อ เอ็นข้อต่อและกระดูก เส้นใยคอลลาเจนจะเป็นโครงสร้างที่เซลล์ใหม่ๆสามารถเจริญเติบโตได้

คอลลาเจนในผิวหนังมนุษย์มีลักษณะเหมือนกับคอลลาเจนที่พบในสัตว์ จึงเป็นเหตุผลที่มนุษย์สามารถใช้คอลลาเจนจากสัตว์ได้

คอลลาเจนกับผิวพรรณ

ผิวของเราจัดเป็นอวัยวะที่ทรงพลังของร่างกาย ลักษณะผิวเป็นตัวบ่งชี้หลักของอายุคน ..อายุที่เพิ่มขึ้น ผิวเริ่มมีการเสื่อมสภาพ กระบวนการทำงานต่างๆ ของผิวหนังและกระบวนการเผาผลาญน้อยลง การสร้างผิวใหม่ก็ช้าลง ปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินก็ลดลง ทำให้เกิดภาวะแก่ก่อนวัย สภาพสีผิวที่เปลี่ยนแปลงและเกิดริ้วรอย รวมทั้งความตึงกระชับลดลง

โดยเฉลี่ยเมื่ออายุเกิน 25 ปีมนุษย์จะสูญเสียคอลลาเจนไปโดยเฉลี่ย 1.25 – 1.50 %ต่อปี
และอาจเพิ่มอัตราการสูญเสียคอลลาเจน เมื่อหลังวัย 40 หรือต้องพบกับมลภาวะ ฝุ่น แสงแดด และอื่นๆอีกมากมาย การจะคงสภาพของผิวให้อ่อนเยาว์อยู่นานๆนั้น ต้องเติมคอลลาเจนคืนสู่ร่างกายและผิว ซึ่งประโยชน์ของคอลลาเจน ที่นอกจากจะช่วยปรับสภาพผิว ช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวแล้ว ยังได้การบำรุง ข้อต่อในทุกส่วนของร่างกาย เล็บแข็งแรง ผมดูเงางามมีชีวิตชีวา ขึ้น


คอลลาเจนจะทำงานคู่กับ อิลาสติน(Elastin)ในขณะที่ คอลลาเจน มีหน้าที่เสมือนโครงสร้างใหญ่ของผิว อิลาสติน ก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวคู่กันด้วย คอลลาเจนจึงเป็นหัวใจสำคัญที่คงความยืดหยุ่น และช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ไม่ให้สูญเสียไปกับสภาพแวดล้อม


คอลลาเจนกับเอ็นและข้อต่อ
  
ส่วนประกอบประมาณ 80 % ของเอ็น (จุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกกับกระดูก) และเส้นเอ็น (จุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกและกล้ามเนื้อ) คือคอลลาเจน ที่เหลือคือ proteoglucans และ fibroblasts


ความเสื่อมของข้อเข่า มีสาเหตุมาจากกระดูกอ่อนในข้อต่อหัวเข่าหมดไป ทำให้กระดูก 2 ชิ้นมาเสียดสีกัน จึงทำให้เกิดการเจ็บปวดในบริเวณนั้น คอลลาเจน เข้ามาช่วยลดการการเสียดสี และสร้างกระดูกอ่อนบริเวณเข่าขึ้นมาใหม่ กรดอะมิโนในคอลลาเจนไฮโดรไลเสท จะถูกนำมาสร้างเป็นกระดูกอ่อน ทำให้มีโครงสร้างที่แข็งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่น



เพิ่มคอลลาเจนด้วยอาหาร


นอกจากการเสริมคอลลาเจนในรูปแบบวิตามินแล้ว ในอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน เช่น เบต้าแคโรทีนจากแคอท อาหารที่มีวิตามินอี และวิตามินซีจากผักและผลไม้ มีส่วนช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างคอลลาเจน

สิ่งที่ได้จากการเสริมคอลลาเจน



1. ลดเลือนริ้วรอย เหี่ยวย่น ฝ้า กระ จางลงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนวัย
2. ผมและเล็บมีสุขภาพดีขึ้น
3. ทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอใส รูขุมขนดูเล็กลง เสริมความอิ่ม เรียบตึงให้ผิวหนัง
4. ช่วยสร้างกระดูกอ่อนที่ข้อ ลดการบาดเจ็บจากอาการข้อเข่าเสื่อม
5.ช่วยป้องกันอวัยวะต่างๆในร่างกาย ทำงานเหมือนตัวเชื่อมต่างๆของร่างกายด้วยกัน ทำให้ร่างกายยืดหยุ่น ขยับไปมาได้สะดวก

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Co-enzyme Q10คิวเท็น..ลดริ้วรอย..หัวใจแข็งแรง

Coenzyme Q10ช่วยเพิ่มพลังงานช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ การวิจัยทางคลินิกของมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นว่าการใช้ Coenzyme Q10 อาหารเสริมเพียงอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับการบำบัดอื่น ๆ และเสริมอาหารอาจช่วยป้องกันหรือรักษาบางส่วนของเงื่อนไขต่อไปนี้
คิวเท็นช่วยในการป้องกันและรักษาโรคหัวใจ มีการพบว่าระดับของ Coenzyme Q10จะต่ำในผู้ที่มีหัวใจล้มเหลว เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลจากการศึกษาจากหลายๆที่แสดงให้เห็น ว่าการทานCoQ10 เสริมช่วยลดอาการบวมในขา, เสริมสร้างการหายใจโดยการลดน้ำในปอดและความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
คอเลสเตอรอลสูงระดับของ Coenzyme Q10 มีแนวโน้มที่จะลดลงในผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงเมื่อเทียบกับสุขภาพของบุคคลวัยเดียวกัน นอกจากนี้ยาลดคอเลสเตอรอลบางอย่างที่เรียกว่ายากลุ่ม statin (เช่น Atorvastatin, cerivastatin, lovastatin, pravastatin simvastatin,) ปรากฏว่าระดับของ CoQ10 ทำให้ลดลงตามธรรมชาติในร่างกาย การเสริม Coenzyme Q10 สามารถแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดจากการใช้ยา เช่น ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อเกี่ยวข้องกับการรักษา statin


แหล่งที่มาของอาหาร :แหล่งอาหารหลักของ คิวเท็น เช่นปลาแซลมอนและปลาทูน่า, เครื่องในเช่นตับ และเมล็ดธัญพืช

ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีส่วนผสมของโคเอ็นไซม์คิวเท็นนั้นแม้ว่าสามารถที่จะลบเลือนริ้วรอยได้ แต่ก็ช่วยลบเลือนริ้วรอยได้ในระดับตื้นๆ เท่านั้น และต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างนาน

*การใช้ Coenzyme Q10 ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่หรือแพทย์

ปริมาณที่แนะนำสำหรับการเสริม คิวเท็น  คือ 30-200 มิลลิกรัมต่อวัน  แบบซอฟเจลร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าแคปซูล
คิวเท็น เป็นสารที่ละลายได้ดีในไขมัน ดังนั้นจึงถูกดูดซึมได้ดีในอาหารประเภทไขมัน พวก ถั่ว เนย
ควรเก็บในที่เย็น แต่ไม่ควรแช่ช่องแข็ง

Coenzyme Q10 เป็นสารสำคัญที่พบในทุกเซลล์ของร่างกาย ปกติร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์สารนี้ได้เอง แต่หลัง 20 ปี การสร้างคิวเท็นจะลดต่ำเรื่อยๆ

ในด้านความงาม เราทราบกันดีว่า คิวเท็น ช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยของผิว ทำให้ผิวเนียนใสขึ้น เนื่องจากไปช่วยยับยั้งอันตรายจากอนุมูลอิสระได้แก่ สารจำพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งวิตามินอีจัดว่าเป็นสารที่มีคุณสมบัติแอนตี้ออกซิแดนท์สูงมาก แต่มีข้อเสียคือตัวเองก็จะถูกออกซิไดซ์ไปด้วย ในตอนนี้เองที่ Coenzyme Q10จะทำงานร่วมกับวิตามินซีช่วยเปลี่ยนวิตามินอี ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ จึงช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ต้นเหตุความแก่ชราและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้อย่างได้ผล

ปัจจุบันมีการกล่าวเกินความจริงเกี่ยวกับ Q10 มากมายทั้งๆ ที่ยังอยู่ในขั้นการทดลองและยังไมได้สรุปผลออกมา เช่น หาว่าช่วยชลออาการโรคพาร์กินสัน เพิ่มแข็งแรงของผู้ป่วยโรคเอดส์ ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพิ่มพละกำลังในพวกนักกีฬา เป็นต้น

แต่ ในทางกลับกัน ก็มีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า Q10 ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากขาด Q10 กล้ามเนื้อหัวใจจะอ่อนแรงลงและทำงานได้ไม่ดี ทำให้มีการใช้ Q10 เกี่ยวกับการช่วยบำรุงหัวใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเทศในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นจัดคิวเท็นให้เป็นวิตามินโดยเรียกว่า วิตามินคิว

คิวเท็นเป็นสารอาหารคล้ายวิตามิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ในร่างกาย ช่วยให้เอนไซม์ทำงานได้ ถ้าระดับของคิวเท็นลดลง ร่างกายจะไม่สามารถแปลงพลังงานจากอาหารให้อยู่ในสภาพที่ร่างกายนำไปใช้ได้ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันเสื่อมสภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใครๆก็กินวิตามินซี?

วิตามินซี  หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิ (L-ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ในร่างกายเราไม่มี ต้องหาทานเข้าไป ซึ่งหาทานได้ง่ายๆทั้งจากผักสดและผลไม้
อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ แอ็ปเปิล มะขามป้อม ฝรั่งสาลี่ มะขามเทศ มะละกอแขกดำ พุทรา ปลาทะเลดิบ


วิตามินซีทั่วๆไปอยู่ในรูปกรดแอสคอร์บิก(มีชื่อทางการค้าต่างๆมากมาย)  ร่างกายจะดูดซึมในระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ส่วนเกินที่ก็จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามลดความเป็นกรดของวิตามิน ซีลงโดยนำไปเปลี่ยนเป็นรูปเกลือแคลเซียมแอสคอร์เบต (Calcium ascorbate) ที่เราเรียกว่า การบัฟเฟอร์ (Buffer) ยังคงมีความเป็นกรดอยู่บ้างเพราะกระบวนการตกตะกอนให้ได้เกลือแคลเซียม ต้องใช้สารละลายจำพวก อซีโตนหรือแอลกอฮอล์ (Acetone or Alcohol) จนได้วิตามินซีอีกประเภทคือ

วิตามินซีชนิดสลายตัวช้า (ตามแต่จะเรียกชื่อทางการค้า เช่น Buffered  ,Time release)ร่างกายจะดูดซึมได้นานขึ้น ได้อย่างเต็มที่มากกว่าแบบทั่วๆไป
ในที่สุดก็มีการค้นคว้าวิจัยต่อจนได้วิตามินซี ที่ไม่เป็นกรดเลย ด้วยวิธีการตกตะกอนเกลือแคลเซียมแอสคอร์เบตดยการใช้น้ำกลั่นบริสุทธิ์ ผลที่ได้คือ เอสเตอร์-ซี (Ester-C) ซึ่งบริษัทผู้ผลิตได้จดลิขสิทธิ์ไว้ ฉะนั้น เอสเตอร์-ซี คือ ชื่อทั่วไปของวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่มีความเป็นกรด และสามารถรับประทานได้ในขนาดสูงได้โดยไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร

ประโยชน์ของวิตามินซี

สำหรับผู้ที่เป็นหวัดบ่อยๆ เพราะขาดวิตามินซี 
วิตามินซีจะไปช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ช่วยต้านทานไวรัสที่จะเข้ามาในร่างกายเราได้

สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้
ในวิตามินซีมีสารที่เรียกว่าแอนตี้ฮิสตามีน ที่ช่วยต้านสารฮิสตามีนที่ร่างกายเราขับออกมาเพื่อต่อสู้กับสารแปลกปลอมเช่นพวก ฝุ่น นุ่น เกสรดอกไม้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบต้านทานในร่างกายสมดุล

สำหรับผู้ที่อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง
วิตามินซีช่วยการทำงานของคอลลาเจน ผู้ที่ขาดวิตามินซี จะมีผิวซีด เหี่ยว หยาบ ไม่สดใส เกิดริ้วรอย กระฝ้า ได้ง่าย

สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ
คุณต้องการวิตามินซีมากกว่าคนอื่นๆ เพราะสารในเหล้า-บุหรี่จะไปขัดขวางการดูดซึมของวิตามินต่างๆ ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินไม่พอ ผิวพรรณดูหม่นหมอง

สำหรับผู้ที่มีความเครียดเสมอๆ
วิตามินซีมีความเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไต ในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียดและอักเสบที่ชื่อว่า คอติซอล

ผู้ที่ทานทานยาคุมอยู่เป็นประจำ
ควรเสริมวิตามินซี เพราะยาคุมจะไปขับวิตามินซีออกไปจากร่างกายเรา

   วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ หากมีมากเกินความจำเป็นจะถูกขับออกทางปัสสาวะหรือทางอื่นๆจากร่างกายเรา แต่ถ้าหากร่างกายได้รับมากเกินขนาด ในบางรายก็อาจมีอาการ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะเป็นสีเข้ม ถ่ายเหลว แต่ไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกขับออกไปในที่สุด
ยกเว้นบางคนใช้ฉีดเข้าเส้น เพื่อที่จะหวังผลในการรักษามะเร็ง หรือเพื่อเพื่อหวังผลเรื่องความงาม อาจเกิดอาการดังกล่าว และในระยะยาวอาจเกิดนิ่วในปัสสาวะได้
วิตามินซีเสื่อมง่ายมากเมื่อถูกความร้อนและแสง เพราะฉะนั้นควรเก็บในที่เย็น

วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสังเคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น รส ดังนั้นวิตามินซีชนิดเม็ดชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ จะได้ความหวานด้วย

อันตรายจากการขาดวิตามินซี

ผู้ที่ขาดวิตามินซีมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามข้อต่อของร่างกาย เลือดออกตามไรฟัน เจ็บกระดูก
แผลหายช้า เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่ต่อต้านการอักเสบและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย การได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจะทำให้เส้นเลือดในร่างกายอ่อนแอ และทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายหายช้ากว่าปกติ
ติดเชื้อได้ง่าย

อัลฟาไลโปอิกแอซิด

อัลฟาไลโปอิกแอซิด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี, อี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก หลังจากที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระไปแล้ว สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถซึมผ่านเข้าไปในชั้นลึกสุดของเซลล์ระดับ DNAจึงแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น CoQ10 ที่ละลายได้เพียงในส่วนน้ำมันในร่างกาย ทำให้กรดอัลฟาไลโปอิคมีคุณสมบัติเหนือกว่า 4-5 เท่า และมีฤทธิ์แรงกว่า วิตามินอี และวิตามินซี 50 เท่า

หน้าที่ หลักของกรดอัลฟาไลโปอิกแอซิดนอกจากเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูตาไธโอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ กรดอัลฟาไลโปอิกยังดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย เนื่องจากกรดอัลฟาไลโปอิคสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถไปเลี้ยงเซลล์ได้ทุกส่วน จึงช่วยกำจัดสารพิษที่ อยู่ในร่างกาย

นอกจากนี้ยังต่อต้านการอักเสบที่ทำให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบของสิว กรดอัลฟาไลโปอิกทำให้ผิวสะอาด โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาท ดังนั้นผิวก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุง ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น
แต่ข้อควรระวังคือ การทำงานของอัลฟาไลโปอิกแอซิด จะดึงไบโอตินในร่างกายเราไปใช้ร่วมด้วย หากเป็นคนที่มีภาวะการขาดไบโอตินก็อาจเกิดผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ได้ วิธีแก้ก็เสริมวิตามินที่ชื่อว่า ไบโอตินเข้าไป (ตัวนี้มีคุณสมบัติอัลฟาไลโปอิกแอซิดช่วยลดการร่วงของเส้นผมค่ะ)

อัลฟาไลโปอิกแอซิดมีทั้งแบบแคปซูลและแบบซอฟเจล แบบแคปซูลจะราคาถูกกว่า แต่แบบซอฟเจลจะดูดซึมได้ดีกว่า และเห็นผลเร็วกว่า

pynogenolสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

โลกเราอากาศร้อน แดดก็แรงขึ้นเรื่อยๆ กันแดดค่าspfสูงๆ บางทีก็เอาไม่ค่อยอยู่ กางร่มก็แล้ว ใส่เสื้อปิดแขนก็แล้ว ยังไม่วายที่ทำให้กระ ฝ้า ยังมาเยือนแบบเงียบๆ แถมเวลารักษา ก็ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ

       ก่อนที่กระแสกลูตาไธโอนจะมาแรงๆ เปลือกสนฝรั่งเศสเขามาแรงก่อนค่ะ ช่วงหลังจะแผ่วไป เพราะกระแส ใครๆก็อยากขาวมันฉุดไม่อยู่จริงๆ
     
      แต่สำหรับสาวๆ ที่กระ เริ่มมาเยือนนั้น หลายๆคนยังพึ่งพาเจ้าเปลือกสนนี่อยู่ และผลพลอยได้แบบเงียบๆก็คือ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นด้วย

     มารู้จักเจ้าเปลือกสนหรือPycnogenol_นี่กันให้ลึกซึ้งดีกว่าค่ะ
    
    Pycnogenol_หรือ เปลือกสนฝรั่งเศสที่ว่านี้คือเปลือกสนสีส้มอ่อนที่มีคุณสมบัติในการแอนตี้ออกซิแดนต์ทำให้ขาวได้ เนื่องจากพืชตระกูลเปลือกสนมีคุณสมบัติช่วยเปิดเส้นเลือดหัวใจ ช่วยทำลายคราบไขมันที่เกาะในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดไม่ยืดหยุ่น เกิดภาวะการอุดตัน เส้นเลือดตีบลง ทำให้ส่งผ่านเลือดไปสู่หัวใจได้น้อยลง

Pycnogenolเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50เท่า และเสริมฤทธิ์การทำงานของวิตามินอี ที่ช่วยป้องกันและลดการทำลายจากสารอนุมูลอิสระ ที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลา

สารสกัดจากเปลือกสนจะเข้าไปลดการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ(melanin)..ตรงนี้ละค่ะ สาเหตุที่ทำให้เราเป็นฝ้า

โดยเจ้าเปลือกสนฝรั่งเศสนี้จะเข้าไปช่วยลดเลือนรอยฝ้าที่เข้ม ให้ค่อยๆจางลง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผิวเรากระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดใต้ผิวหนัง ทำให้เซลได้รับสารอาหารและออกซิเจนอย่างเต็มที่ นอกจากกระ ฝ้าจะจางแล้วจึงสามารถช่วยในเรื่องของอาการเส้นเลือดขอดได้

Pycnogenol_ยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังที่ถูกทำลายโดยเอนไซม์บางตัว โดยPycnogenol_ไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ตัวนั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณได้