ในสภาพสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว การสูบบุหรี่จัดเพราะต้องการลดความเครียด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวทำลายสุขภาพและผิวพรรณ ทำให้ความเสื่อมของวัยรวดเร็วยิ่งขึ้น
ดร.เอ็ดเวิร์ด จีโอวานนุซซี่ จากHarvard Medical School สารอาหารที่พบในมะเขือเทศลูกแดงๆ จะแซกแทรงการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านมและเนื้องอก มะเร็งต่อมลูกมาก รวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่จะเกิดขึ้นใหม่ในร่างกายของเรา
ไลโคปีน เป็นcarotenoid พบมากในมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ ตรงกันข้ามกับเบตาแคโรทีน ไม่ถูกทำลายระหว่างการแปรรูปอาหารเหมือนเบตาแคโรทีน ทั้งยังดูดซึมได้ดี ร่างกายของเราไม่ไผลิตไลโคปีน ดังนั้นเราจึงต้องทานไลโคปีนเข้าไป จากผัก ผลไม้หรืออาหารเสริม แม้กระทั่งอาหารที่ทำจากมะเขือเทศแปรรูปต่างๆ (คนชอบทานพิซซ่า ก็มีเหตุผลที่ดีในการทานแล้วละค่ะ)
carotenoid เป็นสารสีธรรมชาติที่พบมากที่สุด พบในคลอโรพลาสต์ในรูป chromoproteins หากอยู่นอกคลอโรพลาสต์จะพบเป็น acyclic carotenoids carotenoid ที่เป็นสีของมะเขือเทศคือไลโคปีน
จากผลวิจัยที่ผ่านมาในอดีต lycopeneเป็นเม็ดสีที่ช่วยให้ผักและผลไม้ เช่นมะเขือเทศ แตงโม ส้มโอมีสีชมพูและแดง (นี่ละมังคะ ที่คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าอยากแก้มแดงต้องทานมเขือเทศเยอะๆ) และที่สำคัญ ไลโคปีน จะปรากฎขึ้นเพื่อแสดงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับนอกเหนือจากการป้องกันและสามารถลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งดังกล่าว
ปี1990 การศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทดสอบคนจำนวน 50000คนให้รับประทานอาหารที
มีปริมาณมะเขือเทศสูงในเวลาติดต่อกัน พบว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ถึง34%
นอกจากนี้ไลโคปีนปริมาณสูงๆยังช่วยลดคลอเรสเตอรอลตัวไม่ดีหรือ LDL ที่มีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่มีไลโคปีน อย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดอัตราการหัวใจวายของผู้ชายได้ถึง 50%
คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ หากรับไลโคปีนเป็นประจำจะลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดตีบและหัวใจวาย นอกจากนี้ยังสมารถช่วยสร้างภูมิต้านทานในการต่อสู้กับโรคหืดหอบได้อีกด้วย
ร่างกายของคนเราควรได้รับปริมาณ ไลโคปีน อย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน ซึ่งเทียบได้กับการทานมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในอาหาร 10 ครั้ง/สัปดาห์
หากคุณเป็นคนที่เขี่ยมะเขือเทศออกจากจานเป็นประจำ หนำซ้ำยังไม่ชอบทานมะเขือเทศอีกด้วย ก็ยังมีตัวเลือกอื่นๆให้ทานอีกมากมาย และต้องไม่ลืมว่าร่างกายเราไม่สามารถผลิตไลโคปีนขึ้นเอง จำต้องพึ่งการรับประทานเข้าไปเท่านั้น